เพชรถือเป็นหนึ่งในอัญมณีที่น่าทึ่งที่สุดในโลก ไม่เพียงเพราะความใสและความแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังเพราะ สีของเพชรเกิดจากโครงสร้างผลึกและธาตุเจือปนในระดับอะตอม ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ เพชรสีน้ำเงิน ซึ่งเกิดจากการมีโบรอน (Boron) เจืออยู่ในผลึกคาร์บอน ทำให้สามารถดูดซับแสงในบางช่วงและสะท้อนสีน้ำเงินออกมาอย่างสวยงาม
ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกถึง บทบาทของน้ำทะเลโบราณหรือ Subducted Oceanic Crust ที่เป็นตัวนำโบรอนลงสู่แมนเทิลชั้นลึก และวิธีที่โบรอนเหล่านี้เข้าไปเปลี่ยนโครงสร้างผลึกคาร์บอนจนกลายเป็นเพชรสีน้ำเงิน นอกจากนี้เรายังสอดแทรกการเปรียบเทียบกับ เพชรสีแดง เพื่อให้เห็นความแตกต่างของการเกิดสีที่หายากในเพชรแต่ละชนิด
โบรอนเป็นธาตุเจือปนเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่สามารถเปลี่ยนคุณสมบัติการดูดซับแสงของเพชรได้อย่างมหาศาล
เพชรสีน้ำเงินเกิดจาก boron substitution ใน lattice ของคาร์บอน
โบรอนทำให้เพชรสามารถดูดซับแสงในย่านแดงและสะท้อนสีน้ำเงินออกมา
ความเข้มของสีน้ำเงินขึ้นอยู่กับปริมาณโบรอนและการจัดเรียงตัวในโครงสร้างผลึก
การเกิดเพชรสีน้ำเงินจึงขึ้นอยู่กับ การนำโบรอนเข้าสู่แมนเทิลชั้นลึก ซึ่งน้ำทะเลโบราณหรือ Subducted Oceanic Crust เป็นหนึ่งในตัวกลางที่สำคัญ
Subducted Oceanic Crust คือ แผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรเก่าที่จมตัวลงใต้แผ่นทวีป ผ่านกระบวนการ Subduction Zone
ในช่วงหลายร้อยล้านปีที่ผ่านมา แผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรจะถูกผลักลงใต้แผ่นทวีป
แผ่นเปลือกโลกนี้มักบรรจุ น้ำเค็มและธาตุละลายต่าง ๆ รวมถึงโบรอนที่สะสมจากตะกอนทะเลและแร่โบรอน
เมื่อแผ่นเปลือกโลกมหาสมุทรจมลงไปในแมกมาที่ร้อนและมีแรงดันสูง
น้ำและโบรอนจากตะกอนทะเลถูก ปล่อยออกมาเป็น fluid
Fluid เหล่านี้สามารถซึมเข้าสู่ mantle peridotite ทำให้โบรอนแพร่เข้าไปยังชั้นที่เหมาะสมต่อการสร้างเพชร
ความลึก: 150–250 กิโลเมตรใต้ผิวโลก
ความดัน: 5–6 GPa
อุณหภูมิ: 1000–1200°C
การมี fluid ที่อุดมด้วยโบรอนทำให้ carbon lattice สามารถดูดซับโบรอนได้สมบูรณ์และเกิดสีฟ้า
ในขณะที่เพชรสีน้ำเงินต้องอาศัย ธาตุเจือปนอย่างโบรอนและ Subducted Oceanic Crust เพชรสีแดงเกิดจาก Plastic Deformation หรือการบิดเบี้ยวของโครงสร้างผลึกคาร์บอนในระดับอะตอม
เพชรสีแดงไม่ต้องการธาตุเจือปน
สีแดงเกิดจาก แรงบีบอัดและแรงเฉือนสะสมหลายร้อยล้านปี
สีแดงมีโอกาสเกิดในเหมืองเก่า เช่น Argyle และแทบไม่เกิดในเหมืองใหม่
นี่แสดงให้เห็นว่า เพชรสีน้ำเงินและเพชรสีแดงมีกระบวนการเกิดสีที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
โบรอนสามารถแทนที่คาร์บอนใน lattice ทำให้เกิด acceptor levels
ทำให้เพชรดูดซับแสงในช่วงแดงและส้ม → สะท้อนสีน้ำเงิน
ความสมบูรณ์ของ lattice สำคัญต่อความใสและความคงทนของสี
Fluid ที่มีโบรอนต้องแพร่กระจายสม่ำเสมอใน crystal growth zones
หากไม่สมดุล จะเกิด สีฟ้าเข้มบริเวณหนึ่งและจางบริเวณอื่น
เทคนิคการวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ เช่น Photoluminescence Mapping ช่วยตรวจสอบ distribution ของโบรอนในเพชร
เพชรสีแดงเกิดจาก stress lines และ slip planes
สีแดงไม่ขึ้นอยู่กับธาตุเจือปน แต่ขึ้นอยู่กับ โครงสร้างอะตอมที่บิดเบี้ยว
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเพชรสีแดงและเพชรสีน้ำเงินแม้ทั้งคู่หายาก แต่โครงสร้างและกลไกการเกิดสีแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เพชรสีน้ำเงินขนาดใหญ่หลายเม็ดพบใน Alluvial deposits ของแอฟริกาใต้
Fluid ที่นำโบรอนมาจาก Subducted Oceanic Crust ทำให้สีฟ้าเข้มและสม่ำเสมอ
การเจียระไนอย่างแม่นยำทำให้สีสะท้อนทั่วเม็ด
แม้เพชรสีแดงหายากไม่แพ้กัน แต่โครงสร้างเกิดจากแรงเฉือน ไม่ต้องอาศัยโบรอน
สีแดงเกิดจาก plastic deformation และ stress lines ต่อเนื่องหลายร้อยล้านปี
การเปรียบเทียบกับเพชรสีน้ำเงินช่วยให้เห็นว่าธาตุเจือปนและแรงเฉือนเป็นกลไกที่ต่างกัน
เพชรสีน้ำเงินสะท้อนถึง การวนรอบธาตุในโลกและ Subduction Zone
การศึกษากระบวนการนำโบรอนลงสู่แมนเทิลช่วยให้นักธรณีวิทยาเข้าใจ chemical recycling ของโลก
สำหรับตลาดอัญมณี เพชรสีน้ำเงินและเพชรสีแดงถือเป็น Rare Asset สูงสุดของโลก
นักลงทุนมักให้ความสำคัญกับ เพชรสีแดงและสีน้ำเงินธรรมชาติ เพราะทั้งสองสีเกิดจากธรรมชาติแท้จริงและหายาก
Subducted Oceanic Crust เป็นตัวกลางสำคัญที่นำโบรอนลงสู่แมนเทิล
Fluid ที่มีโบรอนซึมเข้าสู่ carbon lattice ทำให้เกิดเพชรสีน้ำเงิน
ความสมดุลของโบรอนใน crystal growth zones สำคัญต่อ ความสม่ำเสมอของสีฟ้า
เพชรสีแดงเกิดจากแรงบีบอัดและ Plastic Deformation ไม่เกี่ยวกับโบรอน
ทั้งเพชรสีน้ำเงินและเพชรสีแดงเป็น Rare Asset ที่หายากและมีคุณค่าทางเศรษฐศาสตร์สูงสุด
สรุป: การเข้าใจบทบาทของน้ำทะเลโบราณและ Subduction Zone ไม่เพียงอธิบายกลไกการเกิดเพชรสีน้ำเงิน แต่ยังช่วยให้เห็น ความแตกต่างของเพชรสีแดง และมูลค่าของอัญมณีทั้งสองชนิดในมิติวิทยาศาสตร์และการลงทุน
เพชรสีน้ำเงิน